ในบทความ “หลวงปู่ใหญ่เทพโลกอุดร” ที่ผมเขียนไปแล้ว
ค่อนข้างจะเป็นเรื่องที่เหลวไหลไร้สาระมากที่สุดในเรื่องที่เกี่ยวกับพระครูโลกอุดร
แต่ผมไปพบประวัติของพระครูโลกอุดรที่เขียนเป็น “หลวงปู่ใหญ่พระครูโลกอุดร” คือ แตกต่างกันที่คำว่า “เทพ” กับ “พระครู”
แต่เนื้อหาแตกต่างกันมากจึงเอามาให้อ่านกันเพื่อเปรียบเทียบ
สำหรับตัวผมเองนั้น มีเรื่องที่สนใจมากกว่านั้น คือ
เรื่องนี้ผมได้มาจากเว็บ “วัดถ้ำขวัญเมือง”
ชื่อเรื่องของบทความก็คือ “ประวัติหลวงปู่ใหญ่พระครูโลกอุดร” อันเป็นเว็บของสายยุบหนอพองหนอของวัดมหาธาตุ
คือ เรื่องแบบนี้ พระมหาโชดกสอนว่าเป็นเรื่องเหลวไหล ไม่จริง
แต่พวกสาวกพระมหาโชดกกลับเชื่อเรื่องเหล่านี้ ก็แสดงว่า พระมหาโชดกสอนไม่ได้เรื่อง
ก็เป็นเรื่องที่สามารถชี้ได้ว่า
ลูกศิษย์ก็โง่ มหาโชดกก็โง่ ถึงได้มีเรื่องทำนองนี้เกิดขึ้น
เนื้อหาก็เป็นไปในทำนองนี้
|
ประวัติหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร
ลิขสิทธิ์ท่านอาจารย์ประถม
อาจสาคร
|
เริ่มเรื่องก็เขียนชื่อผิดไปแล้ว อย่างนี้แสดงว่า
คนเขียนไม่เข้าใจจริงๆ มีความสับสนในเรื่องชื่อ
ไม่ว่าใครจะใช้ชื่อไม่เหมือนกันอย่างไร ใน
Version ของเราต้องใช้ชื่อเดียวกัน
สำหรับผมเองในบทความชุดนี้ ผมมีเจตนาจะใช้ชื่อตามที่เขาเขียนไว้ เพราะ
ต้องการที่จะเน้นว่า พวกนี้ขนาดชื่อยังไม่ตรงกัน
แล้วเรื่องจะเป็นความจริงได้อย่างไร
สำหรับที่ว่า “ลิขสิทธิ์ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร”
ผมอ้างชื่อท่านไว้แล้ว ก็ถือว่าไม่เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์
อีกอย่างหนึ่ง ผมนำมาเพื่อวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างเป็นวิชาการ
ไม่ได้เอาไปขายในลักษณะใด ก็ถือว่า ไม่เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์เช่นเดียวกัน
|
เรื่องราวเกี่ยวกับคณะบรมครูพระเทพโลกอุดร
มีมาช้านานแล้ว เริ่มต้นในยุคสมัยสุวรรณภูมิ หริภุญไชย สุโขทัย อยุธยา
และต้นโกสินทร์ หลักฐานที่ปรากฏชัดแต่ขาดการค้นคว้าอย่างจริงจัง
|
ข้อความที่ว่า “หลักฐานที่ปรากฏชัดแต่ขาดการค้นคว้าอย่างจริงจัง”
ก็คือ ไม่มีหลักฐานอย่างชัดเจน มันจะไปมีหลักฐานได้อย่างไร เพราะเรื่องแบบนี้
เป็นเรื่องเล่าทั้งหมด
ในเมื่อเป็นเรื่องไม่จริง
คนมันก็เล่าไปเรื่อย หาจุดร่วมกันไม่ได้
|
รู้ในชนกลุ่มน้อยทางเจโตบ้าง
เช่น พระอริยคุณาธาร (เส็ง ปุสฺโส) และหลวงปู่คำคะนิง จุลมณี
ต่างเห็นพ้องต้องกันว่า
คณะบรมครูพระเทพโลกอุดร
เคยมาพำนัก ณ ถ้ำดอยเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวไปก็ไม่มีผู้ใดเห็นอย่างท่าน
|
นี่ก็อ้างกันไปในทาง “เจโตวิมุตติ”
ก็เลยไม่รู้จะเถียงอย่างไร แต่อย่างไรก็ดี
ประวัติของผู้ที่มาเผยแพร่ในสมัยพระเจ้าอโศกนั้น
มีประวัติแต่เพียงสั้นๆ เท่านั้น
เราไม่รู้ว่าท่านมาสอนอยู่แถวไหน เพราะ คำว่า “สุวรรณภูมิ” นั้น
นักวิชาการต่างก็สันนิษฐานไปหลายแห่งหลายที่มาก
|
บางท่านที่มีวาสนาก็พบเห็นท่านและยืนยัน
ครั้นจะเอาเข้าจริงก็ไม่สามารถพบเห็นท่าน
คล้ายคนหนึ่งเคยเห็นผี
แต่หลายคนอยากเห็นบ้างก็ไม่เห็น จนเกือบจะเป็นเรื่องอจิณไตย
(คือเรื่องที่ไม่ควรนึกคิด) แต่ก็ไม่ใช่นิยาย
ท่านมักอยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง
สามารถปรากฏได้ในสถานที่ต่างๆ ไม่จำกัด
ทั้งผู้ที่พบเห็นก็ปราศจากความรู้ว่า
เป็นบรมครูพระเทพโลกอุดรพระองค์ใดกันแน่ เพราะมีอยู่ด้วยกันถึง 5 พระองค์ และอาจมาในรูปต่างๆ
ไม่ซ้ำกัน หรือปรากฏรูปเดิม
|
เรื่องนี้
สอดคล้องกับความรู้ที่ผมได้มาจากการอ่านนิตยสารโลกทิพย์เมื่อหลายสิบปีมาแล้ว
ประเด็นนี้ ถ้าจะตีความอย่างเข้าข้างกัน ก็สามารถตีความไปได้ว่า
มีพระที่เก่งอย่างพระครูโลกอุดรนี้จริงๆ
และมีหลายองค์
ที่นี้พอคนมาเหล่าเรื่อง เอามายำรวมกัน จากพระหลายรูป หรือ 5 รูปดังกล่าว
ก็กลายเป็นรูปเดียว
ในเมื่อเหลือเป็นรูปเดียวแล้ว ก็ต้องเป็นว่า “พระไม่ตาย” เป็นอมตะ
มีอายุยืนยาวเป็นพันๆ ปี
|
แต่ที่มีวาสนาบารมีสูงส่ง
ก็คือ คุณดอน นนทะศรีวิไล คนลาวไปประกอบอาชีพที่ประเทศแคนาดา
ท่านผู้นี้ปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด
ถือเอกามังสะวิรัติมานานกว่าสิบปี ซึ่งบรมครูพระเทพโลกอุดรโปรดปรานมาก
คุณดอน
นนทะศรีวิไล และครอบครัว เคารพนับถือบรมครูพระเทพโลกอุดรมาก
และเล่าให้ฟังว่าได้พบเห็นบรมครูพระเทพโลกอุดร ด้วยตาเนื้อ 2 ครั้ง
|
เรื่องหลอกลวงทำนองนี้ ก็ต้องมีพระเอกแบบนี้ คือ ต้องมีคนไปพบเห็นจริงๆ คนๆ นั้น
จะเป็นคนโน้น คนนี้ แต่ถ้าเราถามหาจริงๆ
ว่า “ไอ้คนคนนั้นเป็นใคร ตอนนี้อยู่ที่ไหน”
คนเล่าก็ไม่สามารถเอามายืนยันได้
|
ครั้งแรกหลังจากเสร็จจากการนั่งสมาธิประจำวัน
เป็นเวลาทางประเทศแคนาดา 00.02 น. ปรากฏพระภิกษุชรารูปหนึ่งเดินเข้ามาในบ้าน
คุณดอนทราบทางจิตว่าเป็นบรมครูพระเทพโลกอุดรแน่
จึงก้มลงกราบและเรียนถามว่า “หลวงปู่คือพระเทพโลกอุดรใช่ไหม”
ท่านตอบว่า
“ใช่”
|
เรื่องนี้จริงๆ ไม่อยากจะขัดคอ แต่ถ้ารู้จริงๆ ว่า เป็นพระครูโลกอุดร
แล้วจะเสือกไปถามทำไม คุยกันเรื่องอื่นเลยไม่ดีหรือไง
|
คุณดอนไม่ทันได้เตรียมตัวและไม่ได้ถามถึงข้อปฏิบัติธรรม
จึงถามว่า “พระพิมพ์ที่อาจารย์ประถมฝากมาให้เป็นของหลวงปู่อธิฐานจิตจริงหรือเปล่า”
ท่านตอบว่า
“จริง”
|
ตรงนี้ อาศัยโฆษณาขายของเสียเลย เพื่อไม่ให้เสียเที่ยว
|
ต่อจากนั้น
คุณดอนก็ตื่นเต้นไม่ทราบจะถามอะไรอีกต่อไป ครั้นแล้วหลวงปู่ก็หายไป
|
แหม......... หลวงปู่ก้อ
ปรากฏตัวออกมาขายของแค่นี้ แล้วก็หายไปเลย
มันน่าจะปรากฏตัวหลายๆ ฉากหน่อย
ออกมาแค่นี้ ไม่คุ้มค่าตัวเลย
|
การที่ท่านปรากฏเช่นนั้นเรียกว่า
ปรากฏกายธรรม
สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเนื้อและสัมผัสได้
จึงเกิดปัญหาถกเถียงกันสำหรับผู้มีภูมิปัญญาไม่ถึงขั้น
ไม่รู้จักคำว่า กายทิพย์
กายธรรม
|
ในฐานะที่ผมเป็นวิทยากรสอนวิชาธรรมกาย รู้จักกายทิพย์
กายธรรมเป็นอย่างดี ผมยืนยันว่า
เรื่องนี้โกหก กายธรรมไม่ได้เป็นแบบนี้ กายทิพย์ก็ไม่ได้เป็นแบบนี้
|
ครั้งที่สอง
เป็นการนั่งทำสมาธิทั้งคณะประมาณ 5 คนด้วยกัน หลวงปู่พระเทพโลกอุดรมาปรากฏอีก
ท่านยืนไม่ได้เตรียมอาสนะไว้ต้อนรับ
ท่านแสดงธรรมย่อ และว่าคณะปฏิบัติธรรมพอจะทราบอะไรบ้างแล้วพอสมควร
ต่อไปท่านอาจจะไม่มาอีก
|
อ้าว........กายทิพย์ กายธรรมนี่ต้องนั่งเก้าอี้
หรือมีอาสนะปูด้วยหรือไง
|
ต่อไปท่านอาจจะไม่มาอีก
จะให้ของไว้เป็นเครื่องระลึก แล้วท่านก็มองไปยังแก้วน้ำ ปรากฏเป็นแสงสีเขียว
พุ่งออกจากดวงตาข้างหนึ่ง
|
สงสัยที่มานั้น คงไม่ใช่พระครูโลกอุไร แต่คงเป็นอุลตร้าแมน
ถึงมีแสงพุ่งออกจากดวงตาได้
|
ทันใดนั้นน้ำในแก้วได้จับตัวแข็งเป็นก้อนเล็กๆ
หลายก้อนด้วยกัน ท่านบอกว่าให้แบ่งกันเก็บเอาไว้เป็นของดี
มีอะไรคุณดอนก็เล่าสู่กันฟัง เป็นที่เชื่อถือได้ และมีตัวตนจริง
หลวงพ่อจรัญ
ฐิตธมฺโม แห่งวัดอัมพวัน อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี
เคยได้พบท่านโดยที่ไม่ทราบว่าเป็นบรมครูพระเทพโลกอุดร
พบที่โคนต้นไทรใหญ่
โดยได้รับการบอกเล่าจากเจ้าของที่ดินว่า
ถึงปีหลวงปู่พระเทพโลกอุดรจะมาปักกลดอยู่ชั่วระยะหนึ่ง
เจ้าของที่ดินเล่าว่า
ตั้งแต่จำความได้จนถึงอายุได้ 80 ปีเศษ
หลวงปู่ก็ยังคงทรงลักษณะเดิมไม่แปรเปลี่ยน
หลวงพ่อจรัญ
เรียกท่านว่า “หลวงพ่อดำ” ได้ศึกษาวิปัสสนากรรมฐานจากท่านพอสมควร
บางทีคนมีวาสนาได้พบท่านแล้วไม่รู้จักว่าท่านเป็นใครมีอยู่มาก
|
ตรงนี้ ในฐานะที่เคยบวชวัดอัมพวัน 1 พรรษา หลวงพ่อวัดอัมพวัน [หลวงพ่อจรัญ] ก็เล่าให้ฟังทำนองนี้
แต่ผมก็ยังยืนยันว่า ถ้ามีพระแบบนี้จริง ก็มีหลายองค์ แต่คนเอามารวมกันเป็นองค์เดียว
|
คณะหลวงปู่พระเทพโลกอุดร
เป็นชาวเนปาล อย่าเข้าใจผิดว่าเป็นคนไทย การที่ท่านพูดภาษาไทยได้ก็เนื่องจาก บรรลุปฏิสัมภิทาญาณ
สามารถรู้ภาษาคนและสัตว์ได้
|
ถ้าท่านมาเผยแพร่แถวนี้จริง
ท่านก็คงเรียนภาษาไทยกับคนพื้นเมือง ไม่เห็นจะต้องให้ท่าน “บรรลุปฏิสัมภิทาญาณ
สามารถรู้ภาษาคนและสัตว์ได้”
|
ท่านชอบปรากฏองค์ทางป่าเมืองกาญจนบุรี
เช่น อำเภอไทรโยค อำเภอทองผาภูมิ
ครั้งล่าสุดท่านปรากฏองค์ที่เขาใหญ่
ท่านอภิชิโต ภิกขุ และท่านพันเอกชม สุคันธรัต ไปเฝ้าท่านอยู่นานวัน
และท่านอภิชิโต ภิกขุได้มรณภาพได้ไม่นาน
|
เรื่องเล่าก็ออกไปในทำนองนี้ คือ คนที่ไปพบไปเห็นพระครูโลกอุดรจริงๆ
นั้น ตอนนี้ “เสือกตาย” กันไปหมดแล้ว
ก็เลยหาทางพิสูจน์ไม่ได้อีก
|
เรื่องราวบางตอนได้อาศัยท่านอภิชิโต
ภิกขุ เป็นผู้บอกเล่า มิได้เป็นนวนิยายเลื่อนลอยไม่จำเป็นต้องรอการพิสูจน์
|
แหม....... ถ้าจะขายของ ถ้าจะเอาเป็นเครื่องมือในการหลอกลวง มันก็ต้องมีการพิสูจน์กันบ้าง
|
และโปรดเข้าใจด้วยว่า
ภาพหลวงปู่พระเทพโลกอุดรองค์ที่สาม มีนามว่า “พระอิเกสาโร หรือหลวงปู่โพรงโพธิ์”
การปรากฏกายธรรมในปัจจุบัน
ส่วนมากมักจะเป็นหลวงปู่พระเทพโลกอุดรองค์ที่สาม และแทรกซ้อนด้วย หลวงปู่แจ้งฌาน
ซึ่งเป็นศิษย์เอกคู่กับสมเด็จกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ
ซึ่งท่านทั้งสอง
ท่านอภิชิโต ภิกขุ เรียกว่า “ครูฝึก” ปกติหลวงปู่ไม่ได้ลงมือสอนวิชาด้วยตนเอง
ให้ศึกษากับครูฝึก เมื่อจบขั้นแล้วท่านจึงจะทำการทดสอบทุกครั้งไป
|
ตรงนี้ ผมก็เพิ่งรู้ว่า ภาพของพระครูโลกอุดรมีหลายองค์
วิชาธรรมกายด้วยความเคารพ ผมเป็นคนกลางนะครับ เท่าที่อ่านมาเหมือนมาจับผิดคนอื่นโดยไม่ได้อธิบายอะไรมากกว่าการด่าความเชื่อของคนอื่น จริงๆนะครับผมว่าไม่เหมือนคนที่เรียนวิชาธรรมกายอันสูงส่งมาเลย รังแต่จะทำให้ชาวพุทธแตกแยกมากกว่า
ตอบลบคุณบอกว่าคุณเตยบวชเรียนมากลับหลวงพ่อจรัญ ท่านก้อถืว่าเป็นอาจารย?ของคุณนะครับ ท่านบอกว่าเคยเรียนวิปัสนามาจากพระเทพโลกอุดร ก้อแสดงว่ากรรมฐานที่คุณเรียนมาจากหลวงพาอจรัญก้อเป็นกรรมฐานที่พระทพโลกอุดรท่านถ่ายทอดมาด้วย แต่คุณไม่เชื่อว่ามีจริง อจิรไตยครับของแบบนี้ อาจารย์ตัวเองยังไม่เชื่อ
ตอบลบผมว่าโง่ก็อ่านให้มากกว่านี้ มันเป็นบล็อก ไม่ใช่หนังสือ
ตอบลบเขียนแค่นี้ ควายอย่างคุณจะเข้าใจหรือเปล่า
55 ขอบคุณครับที่ด่า แค่นี้ก้อรู้แล้วคับว่าคุณเป็นของจริงรึป่าว โทสะจริตขนาดนี้ผมสงสัยว่าฝึกวิชาหรือสอนวิชาธรรมกายได้อย่างไร ขอบคุนครับ
ตอบลบไปโรงพยาบาลเถอะ คุณเป็นโรคจิต แบบชอบถูกกระทำ รีบรักษาเสีย
ตอบลบพบหลวงปู่โสณะ 2 ครั้ง
ตอบลบแบบกายเนื้อๆ
ครั้งแรกที่พบ มา แบบ ผู้ดี เข็ญใจ (จิตใจหล่อ)
มาครั้งที่ 2
มาเป็นภิกษุ เพราะ ได้ เศษ จีวร ของ ท่านจาก
นิตยสาร ท่าน มา อ้าง ความรับผิดชอบเศษจีวร เป็นขององค์ท่าน
ยัง ได้ สนทนา พูดคุย กับ องค์ ท่านถาม ทุก เรื่อง ท่าน ก็ เมตตา ทุก เรื่อง.